ฟ้า...ในค่ำคืนที่ไร้ดาว อ้างว้างและว่างเปล่า ไม่มีความหมาย ฉัน...ก็มีดวงใจที่ว่างเปล่า จวบจนวันที่เธอก้าวเข้ามาในชีวิต *ไม่ใช่สายน้ำแต่ฉ่ำชื่นหวาน ไม่ใช่ลำธารแต่ไหลผ่านหัวใจ ไม่ใช่ดวงดาวแต่เธอเป็นดั่งดวงหฤทัย คือความหมายที่หา...มานาน **ความรักจดลึกในความทรงจำ ลึกล้ำ ย้ำรอยสลัก นิรันดร์ นั้นนานนัก แต่รักนี้นานกว่านั้น ฟ้ากำเนิดมา ณ เมื่อไหร่ จะดับสลาย ณ เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ แต่ฉันมีเพียงเธอที่เฝ้ารอ ตลอดกาลไม่นานพอ ให้ดับความรัก สุทธิพงษ์ วัฒนจัง

Thursday, February 7, 2008

พิเศษ สังข์สุวรรณ : เรื่องเล่า : ศาลพระกาฬ

ศาลพระกาฬ1

ผมไปศาลพระกาฬ ลพบุรี ครั้งแรกเมื่อยังเด็กอยู่มาก ไปกับลุงกับป้า นั่งรถยนต์ที่ตัวถังประกอบด้วยไมไผ่ พอเลยอยุธยาไปแล้ว สองข้างถนนยังเป็นป่าข้างทางทึบกว่าปัจจุบันนี้มาก ลุงแวะลงซ้อมปืนอยู่บ่อยๆ

เราพักในค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะลุงทำงานที่นั้น สมัยนั้นยังเป็นศูนย์การทหารราบอยู่ เดี๋ยวนี้เป็นศูนย์บัญชาการสงครามพิเศษ: กองกำลังรบเหล่าพิเศษของกองทัพบก

วันหนึ่งป้ากับลุงก็พาผมไปเที่ยวศาลพระกาฬ ตอนนั้นทะมึนครึ้มไปด้วยกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่มากกว่าปัจจุบันหลายเท่า

ศาลพระกาฬเดิมเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ซึ่งต่อมก็แปลงมาเป็นฮินดู เป็นเทวะสถานที่ผู้สร้าง สร้างถวายเทวะที่ตนบูชาให้เป็นที่สิ่งสถิตย์ขององค์เทวะนั้นๆนเองจะได้มีที่ที่จะมาสักการะบูชาและอ้อนวอนขอสิ่งที่ตนปรารถนาได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปสรวงสวรรค์

ลพบุรีเป็นเมืองหนึ่งในประเทศไทยที่มีการอยู่อาศัยและทับถมวัฒนธรรมกันมาอย่างต่อเนื่องนับพันปี

แรกสุดเมื่ออ่าวไทยกินอาณาเขตมาถึงแถบนี้ๆก็คงเป็นเมืองชายทะเลอยู่ตรงข้ามกับเพชรบุรี ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตก

เมื่อบ้านเป็นเมืองก็คงมีพวกละว้าหรือลั๊วะ ซึ่งอยู่ในแถบนี้มาก่อนเป็นผู้สร้างชุมชน จึงได้ชื่อว่าลวะปุระแปลว่าเมืองของชาวละว้าหรือลั๊วะ

แต่ชื่อนั้นน่าจะมาจากภาษาอินเดีย เพราะชาวอินเดียเดนทางทางเรือในแถบนี้อย่างกว้างขวาง

เมื่อน้ำทะลดลง ลวะปุระก็กลายมาเป็นที่ดอนอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน

จากนั้นก็มีผู้คนและวัฒนธรรมต่างๆแผ่เข้ามาหรือแผ่ออกไป ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยประวัติศาสตร์และสมัยปัจจุบัน

เก่าที่สุดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดบนดินก็คือวัฒนธรรมทวาราวดีและขอม วัด ปรางค์ ปราสาท กู่ เทวสถานต่างๆคงอธิบายได้

ศาลพระกาฬก็เป็นหนึ่งตามที่ว่าดังกล่าว

ดูองค์พระกาฬให้ดีๆจะเห็นว่าท่านมีสี่กร

นั่นคือพระนารายณ์....ฮินดู....ที่เข้ามาในอาณาจักรขอมก่อน แล้วจึงแผ่เข้าในสุวรรณภูมิ

แล้วลพบุรีแปลงชื่ออย่างไร

อย่าลืมพระรามเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์!!

พระรามมีโอรสชื่อพระลพ

และพระรามประทับอยู่ที่อโยธยา

ในสมันอยุธยา ลพบุรีคือเมืองลูกหลวงของอยุธยา

พอจะเข้าไหม...เรื่องราวนี้มาขั้นหลังตามคติความเชื่อโบราณ

มีตำนานลพบุรีกล่าวถึงว่าห้ามมีกรใช้น้ำส้มสายชูในเมือง....?

เพราะพระรามแผงศรไปปักยักษ์ตนหนึ่งล้มอยู่ที่นั้นและหากมีน้ำส้มสายชูไปโดยแผลเข้า ยักษ์ก็จะฟื้นและอาละวาด

มันก็เป็นเรื่องเล่าและตำนาน

แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเรื่องราวและความเชื่อบางอย่าง....ที่สอดคล้องกันกับความเชื่อของเมือง....และเปลี่ยนแปลงแผลงไปตามยุคสมัย

ผมเดินตามป้าและลุงไปบนศาล ลุงกับป้าไปสักการะพระกาฬ ผมรออยู่ที่ใกล้ๆทางเข้า...ผมแต่งตัวน่ารักแบบเด็กๆสวมหมวกไบเล่ย์ ติดตราโลหะเรื่องหมายค่ายนารายณ์ฯเป็นรูปฉลุพระนารายณ์สี่กร

อยู่ดีดีหมวกผมก็หายไปจากหัว..........!!

มองตามขึ้นไปก็เห็นไอ้จ๋อตัวหนึ่งหิ้วหมวกผมไปต่อหน้าต่อตา และขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่

บนศาล

ผมร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ...ลุงป้าวิ่งออกมา

ไอ้จ๋อตัวนั้นเอาหมวกผมไปแทะเล่นบนคบไม้สูง...มิใยว่าใครจะขู่ตะคอกหรือทำอย่างไร มันก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน....และไม่หนีไปไหน...กวนตีนอยู่อย่างนั้น

นานเข้า...หมดปัญญาแล้วป้าก็พาผมกลับ บอกว่าเดี๋ยวซื้อหมวกให้ใหม่

ในขณะเดียวกันก็มีใครสักคนที่เป็นคนที่อยู่ที่ศาลพระกาฬมาพูดอะไรกับป้า

ป้าคิดอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ให้ลุงอยู่กับผม แล้วป้าก็เข้าไปกราบเจ้าพ่อพระกาฬ...จะบอกหรือบนท่านว่าอย่างไรไมมีใครรู้

จู่ๆไอ้จ๋อมือไวก็โยนหมวกของผมลงมา!!!

ลูกน้องลุงรีบวิ่งไปเก็บมาคืนผม

ผมหยุดร้องไห้....

ไอ้จ๋อก็ยังคงนั่งอยู่บนคบและมองลงมานิ่งๆแล้วมันก็กระโจนเข้าฝูงไป

พิเศษ สังข์สุวรรณ/นานมาแล้ว/Revised on001018

ศาลพระกาฬ 2

โตขึ้นมาผมผ่านศาลพระกาฬไปอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยแวะเข้าไป....ไม่ใช่กลัวลิงขโมยหมวกหรอกเพราะเลิกใส่หมวกมานานแล้ว แต่เพราะมันแค่ผ่านไปที่อื่น แต่ก็ยกมือไหว้ทุกครั้งที่ผ่าน

แล้วผมก็ไปรับราชการทหารอยู่พักหนึ่ง

ช่วงหนึ่ง กองพันผมก็ต้องไปฝึกโดดร่มและรบพิเศษอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ผมไม่ผ่านการทดสอบร่างกาย...จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ....

แต่ก็ต้องอยู่กับเพื่อนๆที่กองร้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะจำหน่ายออกจากหน่วยมาแล้ว ก็ต้องกลับพร้อมกับกองพัน

พอเขาฝึกโดดร่มเสร็จ เขาก็ไปฝึกจู่โจมที่จังหวัดอื่น

ผมกับเพื่อนอีกสี่หาคนที่ไม่ผ่านการทดสอบก็ต้องแกร่วอยู่ในค่าย...รอเพื่อนๆฝึกเสร็จ

วันๆก็ไม่ได้ทำอะไรมาก หายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น

วันหนึ่งเบื่อๆมากๆเข้าผมก็เดินไปนั่งเล่นที่ศาลพระกาฬ

มีคนมาเที่ยวเป็นช่วงๆทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ

เขามีร้านขายของในบริเวณศาล....เครื่องดื่ม...ของที่ระลึก....และอาหาเลี้ยงลิง

ผมก็เลยซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งถั่วคั่วสองถุง กะว่าจะเอาไปให้ลิงมันกินเล่น (ถั่วนะครับ ไม่ใช่เบียร์)

เอาถุงถั่วยัดกระเป๋ากางเกงสนามไป แล้วก็ไปนั่งจิบเบียร์ดูอะไรเพลินๆ

สักพักก็มีมือมาลวงกระเป๋ากางเกงผม!!!

ผมหันขวับไปทันใด!!!

สิ่งที่ที่ผมคิดว่ามันเป็นนักแซงค์กลับกลายเป็นไอ้วอกตัวเกือบเท่าหมา!!!

พอผมจะปัดมือมันออก มันก็แยกเขี้ยวใส่ผม!!

เขียวมันน่ากลัวกว่าดาบปลายปืนเสียด้วยซ้ำ!!

ผมก็เลยนั่งนิ่งๆ....ไม่รู้จะทำอย่างไง

ไอ้วอกมันกำถุงถั่วในกระเป๋ากางเกงผมแน่นและพยายามดึงออกไป....แต่ดึงไม่ออกเพราะมันติดกางเกงเนื่องจากผมกำลังนั่งอยู่!

พอมันดึงไม่ออก มันก็แยกเขี้ยวใส่ผม!!

ตรงนั้นก็ไม่มีใครเสียด้วย

แรกคิดว่าจะแบ็คแฮนด์ใส่มัน

แต่คิดอีกทีก็คิดว่าคงไม่ทันมัน....เพราะลิงต้องเร็วกว่าคน...และผมคงจมเขี้ยวมัน

ยัง....ยังก่อน....อย่าคิดว่าผมปลอดแหก....

เพราะข้างๆตัวผมมีลูกน้องของมัน...ตัวเล็กกว่ามันหน่อย อีกสองสามตัวกำลังทำท่าเหมือนกอริลล่าอยู่อย่างตระเตรียม

ผมเลยต้องใช้ความคิดที่สอง.......?

ค่อยๆยันขายืนขึ้นมาช้าๆ.......ช้ามาก!!!!!

จะเตะมันหรือครับ!!!!

บ้าสิ!!!....

ผมต้องยอมให้มันปล้น!!!!

เมื่อค่อยๆยืน กระเป๋ากางเกงมันก็คลาย....

มันก็เอามือที่กำถั่วออกไปได้.....

แล้วมันก็ถอยกลับไป.....กินถั่วไปพลาง!!!!!

ผมรู้สึกขายหน้าตัวเองที่สุด

โดนลิงปล้น!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ผมกลับมากองร้อยและเล่าให้จ่ากองร้อยฟัง แกหัวเราะเหมือนเมากัญชา แล้วสอนผมว่า วันหลังผู้หมวดไปอีก ใส่ไอ้โอ๊บไปซี่

ไอ้โอ๊บ คือรองเท้าคอมแบ็ตทหารที่เราเห็นเวลาเขาใส่ชุดฝึกนั่นแหละ

วันรุ่งขึ้นด้วยความพยาบาท ผมก็ทำอย่างที่จ่ากองร้อยบอก แล้วกลับไปที่ศาลฯแล้วทำทุกอย่างเหมือนเดิม....ซื้อเบียร์....ซื้อถั่ว...ยัดใส่กระเป๋ากางเกง...ไปนั่งที่เดิม....

สิ่งที่ไม่เดิมก็คือ...ผมสอดสายตาหาไอ้ลิงเปรตนั่นตลอดเวลา

ที่นั่นมีลิงมากมาย และเคลื่อนไหวตลอดเวลา

มันเหมือพยายามมองหาคนในตลาดนัดสวนจตุจักร แต่ผมก็ไม่ละความพยายาม...มองหาไปเรื่อย จนในที่สุดผมก็เห็นมัน!!!

มันนั่งอยู่บนหลังคาทางเข้าศาล ตรงข้ามกับร้านขายถั่วคั่ว

มันมองมาที่ผมเมื่อผมสบตามัน!!!!!!!!!

มันทำคิ้วยกขึ้นยกลง และมองผมจากหัวถึงตีน

สายตามันเต็มไปด้วย หางหมู(คือเครื่องหมายคำถาม(Question Mark))

ผมสบตากับมันครู่หนึ่ง...กะว่าเดี๋ยวมันจะมาปล้นผมแบบเดิมอีก...คราวนี้เจอกัน!!!

และแล้วมันก็ขยับตัว...!!

ผมก็ขยับตีน....!!!!

แล้วมันก็กระโดดทันที!!!!

แต่ไปอีกทางหนึ่ง....และหายลับไป!!!!!ในฝูงของมัน

ผมนั่งอยู่อีกสักพักหนึ่ง เอาถั่วให้พวกลูกลิงมันกินกัน

พอพายุอารมณ์สงบลงแล้ว ก็คิดว่า ช่างมันเถอะ

แล้วผมก็กลับมากองร้อย นอนอ่านหนังสือสบายใจ

จะว่าไปตามชาติพันธุ์วรรณาแล้ว ลิงกับคนก็มีสายสาขามาใกล้เคียงกัน คงจะต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายๆกัน...แล้วแต่ใครจะพัฒนามากกว่ากัน

แต่สันดานเดิมคงยังพอมีร่องรอยให้มองเห็นได้...ขี้โกง...เอาเปรียบ...ข่มขู่...ระราน...และขี้ขลาด

มนุษย์ชาติพัฒนาขึ้นมาดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ผมก็ตอบไม่ได้มากนัก

เรื่องปรัชญาอาจจะใช่....ความเป็นชีวิตอาจจะไม่

อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ไปถึงอวกาศได้ก็คือ ลิง

พิเศษ สังข์สุวรรณ/นานมาแล้ว/001018

ศาลพระกาฬ 3

เมื่อผมลาออกจากราชการทหารแล้ว ครั้งหนึ่งผมก็ไปอยู่ที่ลพบุรี...ไปเที่ยวพักผ่อนและไปเยี่ยมเพื่อนฝูง ไปพักอยู่ที่วัดมหาธาตุ ซึ่งส่วนหนึ่งเขาทำเอาไว้เป็นที่พักของข้าราชการกรมศิลปากร และผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยศิลปากรอยู่ที่นั่นตอนนั้น...เรียกแกว่า พี่มาด ก็แล้วกัน...

เราพักกันอยู่ที่นั่น ทุกเย็นคืนก็ชื่นมื่น ร่ำสุราเฮฮากันไปตามประสา

ตอนกลางวันข้าราชการเขาก็ไปทำงานกัน พวกที่ไม่ได้ทำราชการคือพวกผม ก็แกร่วอยู่ที่บ้าน พัก.....

ทำอะไรที่ไม่เป็นอะไรไปเรื่อย

หลายวันเข้าผมก็เบื่อ...ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยเดินไปเที่ยวศาลพระกาฬเพราะอยู่ใกล้กันนิดเดียว

แวะเบิกบานกับเบียร์สักพักก็เข้าไปในศาลพระกาฬ มันเป็นช่วงหลังเที่ยงหน่อย จึงมีคนไม่มากนัก...

นั่งดูอะไรเพลินๆก็เหงาๆและง่วงๆจึงเอนนอนลงบนพื้นหินยาวในบริเวณศาลฯ...คิดถึงหน้าใครต่อใครไปพลาง แล้วก็ผล็อยหลับไป

ในฝันที่ฝันใฝ่นั้นงามหนักหนา มีแฟนเป็นเทพธิดา

มีนางฟ้าเป็นสนม มีปราสาทราชวังที่ชื่นชม

มีพรมวิเศษ ขี่เหาะได้ดังใจ

แล้วผมก็สะดุ้งสุดตัว เพราะถูกดึงหัวเกือบตกม้า!!!!!!

สะบัดออก ลุกขึ้นได้ ก็เห็นผู้บังอาจมากระชากผมของผม!!!...

มันคือลิงน้อยกระจ้อยร่อยตัวหนึ่ง....นั่งทำหน้าตายอยู่ข้างๆ....!!!

ผมกระเด้งลุกขึ้น กะเตะมันให้เข้าโกลไปเลย....

แต่ไม่มีทางที่จะไวกว่ามัน....มันเผ่นไปข้างหลังศาล ผมไล่ตามเหมือนบ้า

แต่อย่างไรก็ไม่มีทางทันมัน

ไปถึงหลังศาลก็มีลิงทั้งฝูงอยู่ตรงนั้น....ไม่มีทางจำได้ว่าไอ้เวรตัวไหนมาจิกผมผมเล่น...หน้ามันก็เป็นลิงเหมือนกันหมดทุกตัว

จะไปฟ้องร้องกับพ่อแม่มันก็ไม่ได้ เพราะมันคงไม่มีทะเบียนบ้าน..

ก็ได้แค่ข่มความโกรธ........

อีกครั้งหนึ่ง ผมก็ไปนั่งเล่นที่ศาลพระกาฬอีก...เป็นความผูกพันอะไรก็ไม่ทราบ...

แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนผมเกิดใหม่ๆเกือบไม่รอด....ตอนนั้นพ่อ แม่ทำฟืนอยู่ที่พระพุทธบาท สระบุรีและผมกำลังจะตาย...แม่จึงบนบาลพระกาฬให้ผมรอดและถวายผมให้เป็นลูกของท่าน...

ผมก็เลยมีโอกาสมาเขียนเรื่องนี้ให้คุณได้อ่าน

ผมก็ทำแบบเดียวกับทุกครั้งที่ไปศาลพระกาฬ ซื้อเบียร์ ซื้อถั่ว นั่งดูลิงและผู้คน

วันนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันแดง(ญี่ปุ่น) มากรุ๊พใหญ่...ส่วนใหญ่ก็งั้นๆเพราะหง่อมแล้ว....มีเอ๊าะๆอยู่ไม่กี่คน แต่ก็พอเจริญตาได้

พวกเขาเดินชมศาลแล้วผ่านมาทางผม กำลังจะอ้อมไปหลังศาล...แล้วพวกเขาก็มองมาที่ผม...และยกกล้องถ่ายภาพมาถ่ายผม...????

ผมแปลกใจ แต่ความเข้าข้างตัวเองมีมากกว่าเราคงหล่อระเบิดกระมัง พวกเขาถึงมาชักรูปเลยทำมาดเข้ม อกผ่ายไหล่ผึ่งและโปรยยิ้มมุมปาก...พวกเขาก็ถ่ายกันใหญ่.....

ทันใดนั่น!!!!.....ทันใดนั้นก็มีมือมาเด็ดผมของผม หนึ่งเส้น!!!!....

หนึ่งเส้นจริงๆ !!!!

ผมหันไปดูก็เห็นไอ้จ๋อตัวหนึ่ง เขยิบไปนั่งห่างผมไม่มากแล้วก็เอาผมของผมขึ้นมาดู.....

แล้ว???

มันก็เอามาถูซอกฟันของมัน!!!!

มันเอาผมของผมไปทำ DENTAL FLOSS !!!!

พวกนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นถ่ายรูปกันพึ่บพั่บ และหัวเราะกัจนหาง..งูไม่เจอ!!!!

ผมเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย

เพราะเจ้าจ๋อมหัศจรรย์นั่น นั่งถูฟันอย่างไม่สนใจใครหรืออะไร....มันคงกินถั่วแล้วติดฟัน รำคาญ และผมคงมี Dental Floss ให้มันใช่ได้

มิน่าเล่า...ลาแคระที่ศาลพระกาฬตัวหนึ่ง ที่เขาคงเอามาปล่อยไว้ มันถึงไม่ค่อยมีขนหาง....

เรื่องนี้พอเข้าใจได้

แต่ที่ประทับใจมากก็คือ มันมือแน่มาก ฉกเอาแต่ผมเส้นเดียว...เส้นเดียวจริงๆ...

คนเรายังต้องใช้แหนบเลย...มนใช่แค่นิ้ว!!!!! และมันไม่รู้จักคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้ำ

พิเศษ สังข์สุวรรณ/นานมาแล้ว/001018

No comments:

เกริ่น หน่อย....

blog นี้ จัดทำโดยสมาชิกในครอบครัว จะใส่ข้อมูลแบบกระจัดกระจาย และมาเชื่อมต่อกันภายหลัง นะคะ