ฟ้า...ในค่ำคืนที่ไร้ดาว อ้างว้างและว่างเปล่า ไม่มีความหมาย ฉัน...ก็มีดวงใจที่ว่างเปล่า จวบจนวันที่เธอก้าวเข้ามาในชีวิต *ไม่ใช่สายน้ำแต่ฉ่ำชื่นหวาน ไม่ใช่ลำธารแต่ไหลผ่านหัวใจ ไม่ใช่ดวงดาวแต่เธอเป็นดั่งดวงหฤทัย คือความหมายที่หา...มานาน **ความรักจดลึกในความทรงจำ ลึกล้ำ ย้ำรอยสลัก นิรันดร์ นั้นนานนัก แต่รักนี้นานกว่านั้น ฟ้ากำเนิดมา ณ เมื่อไหร่ จะดับสลาย ณ เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ แต่ฉันมีเพียงเธอที่เฝ้ารอ ตลอดกาลไม่นานพอ ให้ดับความรัก สุทธิพงษ์ วัฒนจัง

Sunday, March 9, 2008

THE GOD AND ME!!!


I บ้านพิษณุโลก


ตอนเป็นเด็ก ๆ .... นั่งรถสามล้อของบ้าน เข้าถนนพิษณุโลก... วิ่งขนานกับคลองเลียบทางรถไฟ นิดหน่อย ก็มุ่งตรงไปสามแยกสนามม้านางเลิ้ง ... เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนครสวรรค์และข้ามถนนเข้าบ้าน ... ที่เคยเป็นวังที่ประทับของเสด็จนายกรมฯกรมหลงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ... เสด็จเตี่ยของ ทร.ไทย...

จากหัวถนน (หรือหาง ?) พิษณุโลก... ซ้ายมือเป็น ร.พ.มิชชั่น ... เลยไปเป็นบ้านพิษณุโลก ที่เคยเป็น วังเก่า...

ตอนเป็นเด็ก ๆ ๔-๕ ขวบ ... ฉันถูกเลี้ยงโดยแม่ และป้า... อยู่คนละบ้าน-เขตเดียวกัน ....

บ้านพ่อแม่ ทำฟาร์มไก่...

บ้านป้าก็ทำฟาร์มไก่ .. แต่ขันคนละอย่างกัน...

ถ้าป้าอยู่บ้าน ... ป้าจะเอาฉันไปเลี้ยงเสียทั้งวัน....

ตกเย็น-กลางคืน จึงส่งคืนแม่ .....

แม่มีน้องอีกสองคน (ตอนนั้น) ก็เท่ากับป้าช่วยลดภาระการเลี้ยงดูให้แม่ ....

ป้าเลี้ยง แต่ไม่ได้ดูตลอด ....

ป้าต้องออกไปทำธุระต่าง ๆ นอกบ้าน ......

คนเลี้ยงฉันใกล้ชิดจริง ๆ ช่วงนั้น เป็นพี่เลี้ยง ชื่อ ยายผิว .... ผอมแห้ง ไอค๊อก แค๊ก ......

ทั้งบ้านระแคะระคาย และมารู้ความจริงเอาภายหลังว่า ยายผิวแกเป็น Tuberculosis .... เรียกสั้น ๆ ภาษาแพทย์ + ชาวบ้าน ว่า T.B. ..... แปลว่า วัณโรค .... ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสมัยนั้น !!! ….. ตายเพราะโรคนี้กันมาก !

พอรู้ว่ายายผิวเป็น T.B. ยายผิวก็โดนอาการของโรคอัปเปหิออกจากบ้านไป !......

แต่ไม่ก่อนที่จะเอื้อเฟื้อหางเลขโรคชื่อฝรั่งนั้นให้ฉันไปแว่บหนึ่ง !!

นี่แค่หางเลขนะจ๊ะ !!!!!!!

หางเลขรางวัลที่ ๑ จัง ๆ ฉันคงไม่มาเขียน memoir ให้เปลืองหมึก เปลืองกระดาษอยฝุ่แล้วนะจ๊ะ นาย... จ๋า..

การณ์ฆเป็นซะเช่นนั้นแล้ว ทางบ้านฉันก็เลยต้องทำการบ้านสถานการณ์เสียใหม่ !!.....

ก็คือ Admit ฉันเข้าโรงพยาบาล Mission ไปเลย...

ไปหาหมอที่โน่น แล้วกลับมานอนบ้าน ... นอนกับแม่ ... แม่ไม่ยอมให้ใครเอาไปเลี้ยงอีก !! …..

เป็นอย่างนั้นทุกวันไป .... จนหายดี !! ซึ่งก็กินเวลาหลายเดือนอยู่ ......

ในช่วงนั้น ฉันก็มีโอกาสเข้าไปวิ่งเล่น เดินเล่น นั่งเล่น ในสวนด้านหน้าของบ้านพิษณุโลก ซึ่งมีทางเข้าออกติดรั้วโรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ ที่คนเลี้ยงไปรอยา รอหมอ รอตรวจ รอนัด อะไรตามเรื่องของหมอ ....

ฉันชอบที่สวนนั่น ... เพราะแปลกตาแปลกใจดี .... นอกจากความร่มรื่นด้วยไม้น้อยใหญ่แล้ว ... ตรงมุมต่าง ๆ ในสวนบางมุม ก็มีรูปปั้น หล่อ ตั้งประดับไว้ ....

มีไม่มากนัก ... แต่แต่ละรูปช่างดึงดูด และมีเสน่ห์ต่อเด็ก ๆ อย่างฉันเป็นอย่างยิ่ง.....

สวนนั้นมีชื่อที่ตั้งไว้ ... แต่ฉันไม่ทราบว่าชื่ออะไร ....

โต ๆ ขึ้นมา ก็เรียกขึ้นเองว่า .... สวนเทพเจ้า”…….

โตขึ้นมาอีก ... เรียนหนังสือมากขึ้นอีก ก็เรียกว่า … “EDEN OF THE GODS”……

ที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะประติมากรรมทั้งหลายในสวนนั้นเป็นรูปเทพเจ้าของฮินดูและเทพนิยายไทยเสียส่วนมาก .... ปั้น สร้างหล่อ ด้วยฝีมือชั้นเซียน .... แม้จะมองด้วยสายตาเด็กอย่างฉันก็ตาม ....

ที่จำได้ติดตาก็คงจะเป็น พระนารายฯ์ทรงประทับบนหลังขนดพระยาอนันตนาคราช ....

ที่จำได้แม่นก้เพราะมีรูปงู คือพระยาอนันตนาคราชเป็นเครื่องผูกใจหลักอยู่ .....

แหม ! เด็กกับงู ..... ยิ่งดูยิ่งเข้าใกล้ !! ….

ความใกล้ชิดของฉัน ต่อสวนดังกล่าว ก็คงเป็นอย่างที่หว่านเอาไว้เสมอมา ..... แม้จะย้ายนิวาสถานระหกระเหินไปไหนต่อไหน .... ถ้าผ่านคราวใด ก็ต้องมองด้วยความระลึกถึงซึ่งย้อมด้วยภาพเก่า ๆ เสมอ ... ตราบจนปัจจุบัน ....

หากจะเล่าให้ฟังด้วยมุมมองอื่น ก็มีอะไรแค่นิด ๆ หน่อย ๆ

มันอาจออกไปทางจิตศาสตร์ หรือมิติจักรวาลสักเล็กน้อย ใคร่ฟังก็ฟังไว้ ....

และแล้ว .... ฉันก็ได้มาสัมผัสเทพเจ้าต่าง ๆ ที่เคย ๆ เห็นตั้งแต่เด็ก อย่างไม่คาดคิดฝัน แม้จะเลยสัมผัสที่ ๕ ไปก็แล้วแต่ .....

ฉันสอบ Entrance เข้าคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ ... และเรียนจนจบ .....

นั่นแหละ คือ วงรอบอีกวงของการพบกัน .....

ระหว่างฉัน .... กับ เทพเจ้า .......


เรื่องนี้เขียนประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๐ ขณะพักรักษาตัวที่ รพ.เจ้าพระยา




II. THE GODS AND ME

Fri, May 04, 2007


ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่นานพอสมควร เจ้า T.B. ก็ bye bye ผมไปตามทางของมัน เป็นการ farewell ที่ค่อนข้างจะเฉยชา มีนตึง สำหรับผู้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา แม้จะไม่นานนัก แต่ก็เฉียดตายไปวูบวาบ ! …. ผมเคยเจอมันที่คนอื่น ๆ มันก็ทำเป็นไม่รู้จัก ! ก็แล้วไป .... ทางใครทางมัน !! ……


ผมก็อยู่ที่วังนางเลิ้ง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ ทั้งร่างกายและจิตใจ ... แต่ที่โตแซงหน้าใครทั้งหมด คือ ความซน ! … แก๊งค์ผมที่ลพบุรีน่ะเหรอ.... ชิดซ้ายหลีกไซเรนไปเลย !




ที่บ้านนางเลิ้ง มีศาลเจ้าอยู่หลายศาล ส่วนใหญ่จะอยู่ตามริมรั้วหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ ริม ๆ สนาม .... ซึ่งก็เป็นพื้นที่ที่ผมใช้เล่นอะไรขลุกขลัก ๆ ไปเรื่อย ๆ ......

ตามประเพณีไทยแล้ว สิ่งที่มีคู่กับศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ศาลอื่น ๆ นอกจากศาลสถิตยุติธรรมแล้วก็ คือ .... ตุ๊กตาเสียกบาล อันใครต่อใครเอามาถวายแก้บนมั่ง ถวายด้วยศรัทธามั่ง ด้วยเหตุผลอื่น ๆ มั่ง ....

ศาลไหน ศักดิ์สิทธิ์ หรือ เฮี้ยน มาก ... ตุ๊กตาเสียกบาล ก็แน่นขนัดชานเรือนชานศาล เบียดเสียดกันตกลงมาที่พื้นมั่ง ก็ไม่น้อย.

ก็เสร็จเจ้าหัวจุกจอมซนน่ะซี .... จะเหลือเรอะ !!.....

แม้ผมจะมีพี่ชายพี่สาว แต่ก็อายุมากเกินกว่าจะมาเล่นปั้นวัวปั้นควายกับผม ... น้องสาวก็มี ... แต่ก็เล็กเกินไป-ผมจึงมักจะฉายเดี่ยว เล่นอะไร กุ๊กกิ๊ก ๆ ไปตามจินตนาการของผมคนเดียว .... ของเล่น พ่อแม่ก็หาให้ แต่ไม่มีอะไรถูกใจเท่า ตุ๊กตาเสียกบาล ที่เกลื่อน ๆ ที่เกลื่อน ๆ ศาล ....

จึงเป็นภาพปกติธรรมดาที่จะเห็นผมเล่นอะไรง่วนอยู่แถว ๆ ศาลคนเดียว .... ที่บ้านต้องมาตามไปกินข้าว อาบน้ำ ทุกวัน ...

ณ อาหารกลางวัน ของวัน ๆ หนึ่ง ... ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ในที่สุด !! …..

ผมหายไปไหนมาไม่ทราบ เกือบตั้งสามชั่วโมงหลังกินข้าว ทั้ง ๆ ที่ผมก็อยู่ตรงนั้น !!!!!







No comments:

เกริ่น หน่อย....

blog นี้ จัดทำโดยสมาชิกในครอบครัว จะใส่ข้อมูลแบบกระจัดกระจาย และมาเชื่อมต่อกันภายหลัง นะคะ